Friday, September 14, 2012

อาการเจ็บหน้าอก

 

         หากท่านมีอาการเจ็บหน้าอกเกิดขึ้น และมีลักษณะที่ใกล้เคียงว่าอาจจะมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจ หรือท่านสงสัยว่าจะเกิดจากหัวใจขาดเลือด ท่านควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อไปรับการตรวจวิเคราะห์โรคให้ถูกต้องชัดเจนต่อ ไป อาการเจ็บหน้าอกบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับหลอดอาหารมีการหดเกร็งของกล้าม เนื้อหลอดอาหาร และไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจเลยก็ได้
          สิ่งที่ท่านควรสังเกตและถ้าเป็นไปได้ควรบันทึกเอาไว้ว่า ลักษณะอาการเจ็บหน้าอกของท่านเป็นอย่างไร ? มีการเจ็บเสียวหรือร้าวไปที่ใดบ้าง แต่ละครั้งที่เจ็บหน้าอกเกิดขึ้นหลังจากทำกิจกรรมใด?และเจ็บหน้าอกอยู่นาน เท่าใดแล้วหายไป ต้องรับประทานยาหรือพักนานเท่าใดจึงดีขึ้น และเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ? เพื่อว่าท่านจะได้เล่าให้แพทย์ฟังหรือท่านอาจจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงหาก เกิดขึ้นในครั้งต่อ ๆไป
          สำหรับอาการเจ็บหน้าอกที่สงสัย ว่าจะเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน และทำให้หัวใจขาดเลือด มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการ และสมควรที่จะรีบไปพบแพทย์ดังนี้คือ
          1. หากเกิดมีอาการหลังออกกำลังกาย และไม่ทุเลาลงเลยหลังจากได้พักและหยุดออกกำลังกาย แล้วประมาณ 5 นาที
          2. หากอาการเจ็บหน้าอกเกิดบ่อยขึ้น หรือแต่ละครั้งเกิดเวลานานขึ้น หรือมีการเจ็บรุนแรงขึ้น
          3. หากอาการเจ็บหน้าอกเกิดขึ้นขณะที่ท่านพักผ่อน และท่านไม่ได้มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงท่านไม่มี ความ เครียดหรือความวิตกกังวลเลย
          4. เหนื่อยง่ายมากกว่าปกติ เช่น เดิมเคยเดินขึ้นชั้น 3 ได้สบาย ๆ ต่อมาเดินขึ้นแค่ชั้น 2 ก็เหนื่อยแล้ว หรือเดินพื้นราบแล้วมีอาการเหนื่อย หรือไม่ได้ทำอะไรนั่งเฉย ๆ ก็เหนื่อย อย่างหลังนี้ถือว่าอาการค่อนข้างรุนแรง
          อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่ท่านพึงระลึกไว้ในใจตลอดเวลา ท่านควรรีบบอกกล่าวผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในขณะนั้น ไม่ว่าที่ทำงานหรือที่บ้าน ว่าท่านมีอาการดังกล่าว เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ความช่วยเหลือที่เกิดขึ้น เช่นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเกิดขึ้น ควรจะต้องได้รับอย่างรวดเร็วและต้องทันต่อเหตุการณ์
ที่มา http://www.goodhealth.in.th/web/node/276

โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร

โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร
หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิต เลี้ยงร่างกาย โดยอาศัยการบีบตัว ของกล้ามเนื้อหัวใจ ตัวกล้ามเนื้อหัวใจ เองนั้นก็ต้องอาศัยเลือด ไปเลี้ยงเช่นกัน โดยผ่านทางหลอดเลือด ไปเลี้ยงเช่นกัน โดยผ่านทางหลอดเลี้ยงหัวใจ ที่มีชื่อว่า "โคโรนารี่" หลอดเลือดนี้มี 2 เส้น ขวาและซ้าย แตกแขนงออกไป เลี้ยงทุกส่วน ของกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นเนื่องจาก หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ มีเลือดไปเลี้ยงลดลง หรือไม่มีเลยเป็นผลให้ การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ผิดปกติ หากรุนแรง ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ ตายบางส่วนได้
การที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เกิดการตีบหรือตันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก หลอดเลือดแข็งตัวขึ้น เนื่องจากมีไขมันสะสม ในผนังด้านในของหลอดเลือด เป็นผลให้ทางที่เลือดไหน ผ่านแคบลง เลือดไหลไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจ จึงได้รับเลือดน้อยกว่าปกติ นอกจากนั้น ยังอาจเกิดจากเกร็ดเลือด และลิ่มเลือดอุดตันอีกด้วย
มีอาการอย่างไร
อาการที่สำคัญ ของภาวะหัวใจขาดเลือด คือ อาการเจ็บ แน่นหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะออกแรง พักแล้วดีขึ้น โดยจะรู้สึกแน่น ๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก หรือ ค่อนมาทางซ้าย เจ็บลึก ๆ หายใจไม่สะดวก อาจมีอาการ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด บางรายนอกจาก แน่นบริเวณหน้าอกแล้ว ยังอาจเจ็บร้าว ไปที่หัวไหล่ แขน หรือ คอ
ตรวจอย่างไร ถึงจะทราบว่าเป็นโรคนี้
แพทย์จะซักประวัติ โดยละเอียด ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และดูดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะพักนั้น บ่อยครั้ง ที่ให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ที่จะวินิจฉัยโรค แพทย์ จะแนะนำให้ตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะออกกำลังเพิ่มเติม เรียกว่า "Exercise Stress Test" จากนั้น แพทย์จะนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ มาวิเคราะห์ดูว่า มีโอกาส เป็นโรคหัวใจขาดเลือด มากน้อยเพียงใด
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคนี้
หากท่านมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่าท่านมี "ปัจจัยเสี่ยง" ในการเกิดโรคนี้ ยิ่งมีมากข้อ โอกาสเกิดโรคก็มากขึ้นด้วย ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ได้แก่
  • เพศชาย หรือ เพศหญิงในวัยหมดประจำเดือน
  • ประวัติครอบครัวมีโรคนี้
  • ความดันโลหิตสูง
  • เบาหวาน
  • ไขมันในเลือดสูง (โคเลสเตอรอลรวม หรือ โคเลสเตอรอล แอล ดี แอล ชนิดร้าย)
  • ไขมันโคเลสเตอรอล เอช ดีแอล (ชนิดดี) ต่ำ
  • การสูบบุหรี่
  • ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • บุคคลิกภาพชนิด เจ้าอารมณ์ โกรธ โมโห ง่าย เครียดเป็นประจำ
  • นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมโรคนี้ เช่นกัน เช่น ความอ้วน ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง
รักษาอย่างไร
แนวทางการรักษาที่สำคัญมี 3 ประการ คือ รักษาด้วยยา รักษาโดยการ ขยายหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อให้เลือดไหลผ่านได้มากขึ้น โดยอาจใช้ลูกโป่ง หรือ วิธีอื่น ๆ และสุดท้ายรักษา โดยการผ่าตัด ทำทางเบี่ยงให้เลือด ไปเลี้ยงหัวใจ เรียกว่าทำ "บายพาส" (Bypass Graft) โดยมากแล้วแพทย์ จะเริ่มต้นการรักษาด้วยยา ก่อนเสมอ เมื่อไม่ได้ผลดีด้วยยา แพทย์จะแนะนำให้ ตรวจดูหลอดเลือดโดยตรง โดยการเอกซเรย์ เรียกว่า "การฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ" (Angiogram) จะได้ทราบว่าตีบ หรือตันจุดใดบ้าง เพื่อเลือกวิธีรักษา ให้เหมาะสม ในผู้ป่วยแต่ละราย
จะป้องกันไม่ให้เป็นได้อย่างไร
ท่านสามารถลดโอกาสเสี่ยง ที่จะเป็นโรคนี้ โดยการหลีกเลี่ยงหรือ ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ควบคุมความดันโลหิต และเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • บริโภคอาหารไขมันต่ำ หรือ รับประทานยาลดไขมันในรายที่จำเป็น
  • ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ
  • ออกกำลังกายแบบ แอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ
  • ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่องใส
หากท่านโชคร้าย เกิดโรคขึ้นมาแล้ว การปฎิบัติตัวดังกล่าว อย่างเคร่งครัด จะช่วยชลอการดำเนินโรค ให้รุนแรงช้าลงได้
เอกสารจาก สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย

อาการโรคหัวใจ

ความเป็นจริงแล้วคำว่า โรคหัวใจ มีความหมายกว้างมาก อาการที่เกิดจากโรคหัวใจ หรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าว ก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆ ที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้น การที่แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติอาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆ ที่มีอาการคล้ายกัน

เจ็บหน้าอก     เหนื่อยง่าย     ใจสั่น     ขาบวม     เป็นลม วูบ
เจ็บหน้าอก
อวัยวะที่อยู่ในทรวงอก นอกจากหัวใจแล้ว ยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบ หรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน
อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
1.    เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
2.    อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้น เมื่อหยุดออกกำลัง
3.    ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร
4.    กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกมาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)
อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
1.    เจ็บแหลมๆ คล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
2.    อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน
3.    อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ
4.    อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า
อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนั้น ในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย
หอบ เหนื่อยง่าย
อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง (ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ
คำว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วย อาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ
อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ
ใจสั่น
ใจสั่นในความหมายแพทย์ หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆ หยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียด ถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่า เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก ใจสั่น โดยหัวใจเต้นปกติ
การตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่น เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่า เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้น ท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น
ขาบวม
อาการขาบวม เกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ (โซเดียม) และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอดเลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจ เกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรัง ก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง
เป็นลม วูบ
คำว่า “วูบ” นี้ เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆ กัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว “วูบ” ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต อีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaiheartweb.com


     ความเป็นจริงแล้วคำว่า "โรคหัวใจ" มีความหมายกว้างมาก   อาการที่เกิดจากโรคหัวใจหรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการ ข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้นการที่ แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติ อาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการ ตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆ ที่มีอาการคล้ายกัน
เจ็บหน้าอก          อวัยวะที่อยู่ในทรวงอกนอกจากหัวใจแล้วยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบหรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน
          อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
          1. เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
          2. อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
          3. ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร
          4. กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก มาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)

          อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
          1. เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
          2. อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
          3. อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ
          4. อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า
          อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

          อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัย เสี่ยงต่างๆ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย
หอบ เหนื่อยง่าย
         
อาการ หอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง(ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ
         
คำ ว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วยอาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ
         
อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ
ใจสั่น
         
ใจ สั่นในความหมายแพทย์หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบ ได้ในคนปกติ  โรคหัวใจ และโรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียดถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก"ใจสั่น"โดยหัวใจเต้นปกติ
         
การ ตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้นท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น
ขาบวม
         
อาการ ขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ(โซเดียม)และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอด เลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง
เป็นลม วูบ
         
คำ ว่า "วูบ" นี้เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆกัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว "วูบ" ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต อีกด้วย

โรคหัวใจ


โรคหัวใจ
 

          ชั่วโมง การทำงานที่อัดแน่นด้วยความเครียด และการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและเกลือ กำลังคุกคามสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน อีกไม่นาน... การใช้ชีวิตสมัยใหม่แบบนี้ อาจทำให้ โรคหัวใจ ระบาดทั่วเมือง... 
          หัวใจคนเรามี 4 ห้อง แบ่งซ้าย - ขวา โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ และแบ่งเป็นห้องบน –ล่างโดยลิ้นหัวใจ ในทุกๆ วัน หัวใจคนเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน เปรียบเสมือนการทำงานปกติของ "หัวใจ" แต่ถ้าวันหนึ่ง... หัวใจเราเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร...?

          ทั้งนี้ นายแพทย์สุรพันธ์ สิทธิสุข แพทย์จากหน่วย โรคหัวใจ และหลอดเลือด คณะแพทย์ศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่า มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจ สามารถแบ่งได้หลายชนิด ดังนี้

 โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน... 

          คือ อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็น โรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้
           1. เหนื่อยเวลาออกกําลังกาย เพราะหัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกําลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของ โรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นหากออกกำลังกาย แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ

           2. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่ หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้ จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย หรือใช้แรงมากๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็น โรคหัวใจ

           3. ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่าง เพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึกอีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

           4. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติ หัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ 60 -100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง150 -250 ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจไม่ทัน

           5. เป็นลมหมดสติ คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็น โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็น โรคหัวใจ ได้

           6. หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของ โรคหัวใจ มาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่สังเกตได้จากร่างกาย... 
          นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า...

           1. ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เวลานี้คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว
               
           2. ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยลง

 โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่ตรวจพบขณะตรวจร่างกาย...


          การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ ได้ เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน หรือเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่างๆ ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

 ป้องกัน โรคหัวใจ อย่างไรดี... 
         
          ข้อมูลที่ได้บอกไปข้างต้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เรามีอัตราเสี่ยงสูงต่อการป่วยเป็น โรคหัวใจ เท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะวินิจฉัยว่าเราเป็น โรคหัวใจ หรือไม่ คือแพทย์ โรคหัวใจ เท่านั้น ดังนั้นหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนดีที่สุด

 สำหรับคนที่หัวใจยังเป็นปกติ เรามีข้อแนะนำในการดูแลหัวใจ (ก่อนสายเกินไป) ดังนี้ค่ะ

           สังเกต ความผิดปกติของตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น ดูว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติดีหรือไม่ เจ็บหน้าอก ใจสั่นบ่อยๆ หรือเปล่า เป็นต้น
               
           ออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตแจ่มใสแล้ว ยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้นอีกด้วย

           ดูแล สุขภาพใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ พยายามไม่เครียด รู้จักควบคุมอารมณ์ และพึงระลึกไว้เสมอว่า ความเครียดและความโกรธ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และทำงานหนักขึ้น

           รับ ประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยงดอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย และหันไปกินผักผลไม้ให้มากขึ้น
               
           ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจคาดไม่ถึง เช่น โรคหัวใจ ซึ่งแฝงอยู่ในตัวเราตั้งแต่เนิ่นๆ

          ... ยามใดที่ร่างกายอ่อนล้า เราหยุดพักให้หายเหนื่อยได้... แต่ยามใดที่หัวใจอ่อนแรง มันก็ยังคงเดินต่อไป ทำงานต่อไป... เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่า "หัวใจ" คนเราไม่เคยหยุดพัก อย่าลืมดูแลรักษามันไว้ให้ดีๆ นะคะ เพือจะได้ไม่เป็น โรคหัวใจ ค่ะ

ผัก-ผลไม้บำรุงหัวใจ

ผัก-ผลไม้บำรุงหัวใจ

 

"สารสี ม่วง-แดง" หรือ แอนโทไซยานิน

พบ ในองุ่น ลูกพรุน แอปเปิ้ลแดง สตรอเบอรี่ ชมพู่มะเหมี่ยว บลูเบอรี่ มะเขือม่วง และกะหล่ำปลีสีม่วง จะช่วยขยายเส้นเลือด มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและอัมพาต และยังช่วยบำรุงการทำงานของสมอง




"สารสีแดง" หรือไลโคพีน

จะ มีมากในแตงโมและมะเขือเทศ ส่วนสารสีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแครนเบอร์รี่ นั้นก็คือ สารเบต้าไวซิน โดยสารสีแดงทั้งสามชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้



"สารสีส้ม" หรือเบต้าแคโรทีน

ซึ่ง เป็นเม็ดสีเหลืองส้มที่มีอยู่มากในมะละกอ ฟักทอง แคนตาลูป มะม่วง แครอต รวมทั้งผลไม้จำพวกแตงต่างๆ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้นอกจากจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยบำรุงสายตาแล้ว ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ด้วย

 


"สารสีส้ม-เหลือง"

พบได้มากในส้มเขียวหวาน และลูกพีช ช่วยบำรุงหัวใจและกระเพาะอาหาร รวมทั้งลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งด้วย



อาหารบำรุงหัวใจ

อาหารบำรุงหัวใจ


        ปัจจุบัน โรคหัวใจยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้พันธุกรรมจะเป็นความเสี่ยงที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คืออาหาร การออกกำลังกาย และงดสูบบุหรี่ เราควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ ว่ามีความผิดปกติของหัวใจหรือไม่ เพราะหากเป็นโรคหัวใจแล้วไม่ดูแลระมัดระวัง อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ และควรระมัดระวังในเรื่องของอาหารเป็นพิเศษควรเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อ สุขภาพ งดอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย ควรกินอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดขาว และผักผลไม้ ทั้งนี้มีหลักในการเลือกทานอาหารบำรุงหัวใจ ดังนี้ค่ะ         


1. ควรกินอาหารประเภทแป้งอย่าง ขนมปัง ซีเรียล ข้าว และพาสต้า ในอัตรา 6-11 ส่วนต่อวัน ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกกินแบบที่เป็นธัญพืช อย่าง ข้าวโอ๊ตบดหยาบๆ ขนมปังโฮลวีต หรือข้าวกล้องแทนแป้งที่ผ่านกระบวนการมาแล้วจะดีกว่าค่ะ เพราะธัญพืชจะถูกย่อยได้ช้ากว่า ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินที่เพิ่มขึ้น สามารถลดลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอินซูลินได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ไม่หิวจัด และป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ได้อีกด้วย 


          2. ในหนึ่งวันควรกินผักอย่างน้อย 3-5 ส่วน และผลไม้ 2-4 ส่วน เพราะการที่กินผักและผลไม้มากๆ จะยิ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ แถมยังช่วยป้องกันคุณจากโรคร้ายต่างๆ อย่างมะเร็ง และความดันเลือดต่ำอีกด้วย จำกัดปริมาณนมและผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมอย่าง โยเกิร์ตและชีส ให้อยู่ที่ 2-3 อย่างต่อวัน เพราะนมและผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมนั้นจะมีไขมันอิ่มตัวอยู่มาก แต่ถ้าหากจะดื่มนม ควรเลือกแบบที่ขาดมันเนยหรือโลว์แฟตค่ะ

          3. ควรกินโปรตีนจากปลา เนื้อหมู ไข่ และถั่ว ประมาณ 2-3 ส่วน ต่อวัน เพราะการกินโปรตีนจากเนื้อปลาเป็นประจำจะสามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรค หัวใจได้ อีกทั้งโปรตีนจากถั่วจะประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน และเกลือแร่ ซึ่งดีต่อหัวใจมากๆ ด้วยเช่นกัน สำหรับโปรตีนจากเนื้อไก่และไก่งวงนั้น ถึงแม้จะมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่น้อย แต่ในระยะยาวจะสามารถไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลให้สูงขึ้นได้ค่ะ 

          4. ปิดท้ายด้วยไขมัน ซึ่งในแต่ละวันควรกินไขมันด้วยแต่ในปริมาณที่น้อยมากๆ ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ส่วนมากจะมาจากผัก เช่น มะกอก ถั่วเหลือง คาโนลา ข้าวโพด และทานตะวัน หรือจากสัตว์อย่างปลาแซลมอน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่ดีและช่วย ป้องกันโรคหัวใจวายได้ค่ะ

หมั่นคอยดูแล"หัวใจ"

หมั่นคอยดูแล"หัวใจ"


1. เทคนิคเปลี่ยนหัวใจ (Heart transplant)
การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ทำในสิ่งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบ..ถ้าทั้งสองฝ่ายรู้จักคิดถึงหัวอกกันและ กันสม่ำเสมอ จะไม่มีความบาดหมางใดๆมากวนใจ

2. เทคนิคการทำบอลลูน (Heart Balloon)
ชีวิตเราต้องเจอเรื่องไม่ ดีแทบทุกวัน.. เทคนิคนี้สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง สิ่งร้ายๆที่เกิดชึ้นแล้วก็แก้ปัญหาเสีย เรียนรู้จากประสบการณ์ แต่ไม่เก็บไว้ในใจข้ามปีข้ามชาติ รู้จักลอยตัวให้เบาสบายเหมือนลูกบอลลูน
3. นวดหัวใจด้วยการสัมผัส (touching)
การสบตากัน การแตะมือเบาๆ การกอดกัน ช่วยทำให้หัวใจมีสุขภาพดีมาก จากการทดสอบพบว่าการสัมผัสเบาๆ แต่อบอุ่นหัวใจวาบหวาม ดื่มด่ำ ช่วยทำให้ร่างกายเพิ่มสารเอนโดรฟิน สบายกายสบายใจขึ้นมาก
4. เพิ่มระดับความหวาน (Heart Glucose)
แปลกแต่จริง..ความหวานไม่ มีผลเสียต่อหัวใจเหมือนต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ จงเติมความหวานเข้าไปในหัวใจให้สูงเข้าไว้ เอ่ยคำว่ารัก ต่อคนรักบ่อยเท่าที่ต้องการ เชื่อเถิด กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาแล้วว่าเทคนิคนี้ไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน
5. ใส่ใจกับการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ติดเป็นนิสัย
หัวใจจะแข็งแรงได้นั้น เราจะต้องดูแลเรื่องการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย โดยเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจหรือมีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ผัก  ผลไม้ อาหารที่มีไฟเบอร์สูง บวกกับโปรตีนที่ได้จากพืช แค่นี้ก็ช่วยทำให้หัวใจของคุณและคนที่คุณรักแข็งแรงไปได้พร้อมๆกันเลยค่ะ
6.ลดระดับไขมันในหลอดเลือด
เนื่องจาก ไขมันเป็นตัวที่จะไปสกัดกั้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ดังนั้นขอแนะนำให้ลดอาหารประเภทไขมันสูง และที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะคะ

เรื่องของ “หัวใจ” มาทำความรู้จักกับหัวใจ







หน้าที่ของหัวใจ

หัวใจของคนเรามีขนาดโตกว่ากำปั้นเล็กน้อย มีลิ้นหัวใจ 4 ลิ้น ทำหน้าที่ปิดเปิดให้เลือดไหลผ่านเข้าออกไปในทิศทางเดียว โดยไม่มีการไหลย้อนกลับ ในคนปกติขณะพัก หัวใจจะบีบตัวประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาทีในผู้ใหญ่ และประมาณ 80-100 ครั้งต่อนาทีในเด็ก ขณะออกกำลังกายหัวใจจะบีบตัวเร็วขึ้น บางครั้งอาจถึง 140-180 ครั้งต่อนาที กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้โดยอาศัยพลังงานออกซิเจน สารอาหาร เกลือแร่ และวิตามินจากเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ไหลผ่านมาตามหลอดเลือดหัวใจ เรียกว่าหลอดเลือดโคโรนารี่ ถ้าหลอดเลือดตีบ กล้ามเนื้อหัวใจจะขาดเลือด หากอุดตันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ลิ้นหัวใจทั้ง 4 ลิ้นต้องปิดและเปิดได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าเปิดไม่เต็มที่จะเกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ เลือดไหลผ่านไม่สะดวก และถ้าปิดไม่สนิท เลือดจะไหลย้อนทาง เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจ แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ โดยดูจากอาการต่างๆ เช่น เจ็บหน้าอก ใจเต้น ใจสั่น เป็นลม หอบ เหนื่อยและบวม สิ่งที่พบจากการตรวจร่างกาย เช่น ความดันโลหิตผิดปกติ ชีพจรผิดปกติ หลอดเลือดผิดปกติ หัวใจผิดปกติ และจากการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์หัวใจและปอด การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย เป็นต้น

โรคหัวใจที่สำคัญ ได้แก่

1.โรคหัวใจจากความดันโลหิตสูง ถ้าความดันโลหิตสูงผิดปกตินานๆ หัวใจต้องทำงานหนักและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น ขนาดของหัวใจโตขึ้น เกิดภาวะหัวใจวาย มีอาการเหนื่อยง่าย หอบ เท้าบวม นอนราบไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง


2.โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เกิดขึ้นเนื่องจากมีความผิดปกติของการเจริญเติบโตของหัวใจในขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจเกิดจากการที่มีรูโหว่ที่ผนังภายในหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบตันหรือรั่ว หรือเกิดจากหลอดเลือดอยู่ผิดไปจากตำแหน่งปกติ

3.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดขึ้นเนื่องจากมีการอุดตันในหลอดเลือดโคโรนารี่ที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการที่พบ ได้แก่ จุกแน่น เสียดแสบบริเวณทรวงอก เหงื่อออก เป็นลม ใจสั่น จนถึงเสียชีวิตแบบกะทันหัน การเจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดโคโรนารี่ ถือเป็นภาวะวิกฤตที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน

4.โรคหัวใจรูห์มาติค พบในเด็กอายุ 7-15 ปี เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเบต้าฮีโมไลติค สเตร็ปโตคอคคัส ทำให้คออักเสบ ไข้สูง ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนี้ ถ้าได้รับเชื้อโรคนี้ซ้ำอีกจะเกิดการอักเสบที่ข้อเข่า ข้อศอก และสมอง กล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อบุหัวใจ และลิ้นหัวใจ ถ้ามีการอักเสบซ้ำหลายๆ ครั้ง จะเกิดพังผืดขึ้นที่ลิ้นหัวใจจนเปิดไม่เต็มที่และหรือปิดไม่สนิท ทำให้ลิ้นหัวใจจะตีบแคบลงหรือรั่ว





การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจ

1.การตรวจด้วยเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

เป็นการตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่ในหัวใจ และบันทึกออกมาไว้ในกระดาษ เพื่อวินิจฉัยโรคและภาวะผิดปกติของหัวใจ เช่น การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ภาวะหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ ขนาดและผนังหัวใจที่โตผิดปกติ เป็นต้น


2.การถ่ายภาพรังสีทรวงอก

การถ่ายภาพรังสีทรวงอก หรือที่เรียกว่าเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูขนาดของห้องหัวใจและลักษณะของเส้นเลือดระหว่างหัวใจและปอด ว่ามีความผิดปกติหรือไม่


3.การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย

โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากอัตราชีพจร ระดับความดันโลหิตและการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บันทึกตลอดเวลาขณะที่ผู้ป่วยออกกำลังกาย โดยให้ผู้ป่วยเดินบนพื้นเลื่อนหรือสายพาน หรือถีบจักรยาน โดยผู้ป่วยจะต้องออกกำลังกายเพิ่มขึ้นไปตามมาตรฐานของการทดสอบ ข้อมูลที่ได้จะบอกให้ทราบถึงสมรรถภาพการทำงานของร่างกายและหลอดเลือด ความสามารถในการออกกำลังกายของแต่ละบุคคล เป็นต้น


4.การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง

อาศัยหลักของคลื่นเสียงที่ส่งไปจากเครื่องมือที่วางอยู่ภายนอก เมื่อไปกระทบกับหัวใจจะสะท้อนกลับมา และเครื่องจะแปลงสัญญาณเสียงนั้นให้เป็นสัญญาณภาพปรากฏในจอรับภาพ เพื่อดูโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือด ทิศทางการไหลของเลือด ตลอดจนการเคลื่อนไหวและการบีบตัวของหัวใจว่าปกติหรือไม่ ความดันโลหิตเป็นอย่างไร เป็นต้น


5.การตรวจสวนหัวใจ

เป็นการฉีดสารทึบรังสีและถ่ายภาพรังสี เพื่อดูความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ศึกษาการไหลเวียนของเลือด วัดความดัน และวัดปริมาณออกซิเจนในห้องหัวใจ แพทย์จะตรวจด้วยวิธีนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการตรวจด้วยวิธีอื่นยังไม่เพียงพอ ข้อมูลที่ได้จากการตรวจสวนหัวใจจะบอกสภาวะของหลอดเลือดว่าตีบที่บริเวณใดและตีบกี่เส้น เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยต่อไป